พะยูน
- 19 กรกฎาคม 2556
- 680
การชันสูตร
วิธีการจัดการกับพะยูนเกยตื้นและการจัดการซากพะยูน
เมื่อได้รับแจ้งข่าว ต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ สถานที่ที่จะไปรับ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อและที่อยู่ของผู้ที่จะติดต่อได้เมื่อไปถึง พร้อมทั้งให้คำแนะนำเบื้องต้นพอสังเขปแก่คนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่หรือชาวบ้านในการปฏิบัติต่อพะยูนทั้งในกรณีที่มีชีวิต (Live Specimen) หรือตาย (Carcass) ควรมีการประเมินสภาพของพะยูนเพื่อจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ได้ตรงกับการใช้งาน เช่น พะยูนมีชีวิต หรือตาย ขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก หากมีชีวิต บาดเจ็บมากน้อยอย่างไร
![]() |
พะยูนเกยตื้น |
การเกยตื้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายแบบ เช่น การเกยขึ้นบนชายหาด การเกยตื้นในที่ตื้นแต่ยังมีน้ำล้อมรอบ ตัวอย่างที่มาเกยตื้นนี้เรียกว่า Stranded animal การเกยตื้นยังแบ่งเป็นเกยตื้นตัวเดียวหรือหลายตัว หรือเป็นกลุ่ม (Mass stranding) ส่วนการขึ้นเกยตื้นและตายของโลมาและปลาวาฬหลายๆ ตัว หรือบางครั้งมีการตายครั้งละมากๆ เป็นร้อยเป็นพันเรียกว่า Mass die-off บางคนใช้คำว่า Strandings หรือ Stranded และ Beachings กับตัวอย่างเกยตื้น แต่คำที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ Stranded ซึ่งครอบคลุมทั้งตัวอย่างที่มีชีวิต และเสียชีวิต (Geraci and Lounsbury, 1993)
สาเหตุ ที่ทำให้พะยูนมาเกยตื้นนั้นมีหลายปัจจัย ทั้งที่เกิดจากสภาพธรรมชาติ โรคภัย และมนุยษ์ บางแห่งมีการมาเกยตื้นของพะยูนติดต่อกันหลายวัน หรือการมาเกยตื้นกินเนื้อที่ความยาวของชายหาดหลายกิโลเมตร ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชี้ชัดว่าปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งทำให้สัตว์เหล่านี้มาเกยตื้น ปัจจัยต่างๆมีดังนี้
1. | สภาพภูมิประเทศชายฝั่งที่ซับซ้อน และสภาพของมหาสมุทร ทำให้พลัดเข้ามาเกยตื้น | |
2. | มลภาวะ (Pollution) ของสิ่งแวดล้อมทางทะเล เช่น คราบน้ำมันชายฝั่งอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย หรือมลภาวะที่ได้รับจากห่วงโซ่อาหารจากแพลงตอนสู่ปลา หอย กุ้งและหมึก เมื่อพะยูนกินเข้าไปสะสมเกิดเป็นพิษขึ้น | |
3. | สภาพภูมิอากาศ เช่น คลื่นลมแรง พายุ ทำให้ไม่สามารถรักษาทิศทางการเคลื่อนที่ได้ | |
4. | การหนีผู้ล่า (Predator) ซึ่งอาจเป็นสัตว์อื่น เช่น ฉลาม วาฬขนาดใหญ่ที่กินเนื้อ หรือมนุษย์ | |
5. | พิษที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น การสะสมสารพิษจากสาหร่ายบางชนิดที่กินเข้าไปในระยะเวลานานๆ | |
6. | การไล่ล่าเหยื่อมายังชายฝั่งแล้วเกยตื้น เช่นปลาวาฬเพชฌฆาตล่าแมวน้ำจนมาเกยตื้น | |
7. | การเจ็บป่วย และโรคภัยจากธรรมชาติ เช่น ติดเชื้อไวรัส โรคพยาธิ | |
8. | การได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของมนุษย์ เช่น ติดอวน เบ็ดปลากระเบน โป๊ะ |
![]() |
การช่วยชีวิตตัวอย่างมีชีวิต (Rescue for live animals)
ในประเทศไทยพะยูนที่พบเกยตื้น ส่วนใหญ่มักเจ็บป่วยมา หรือไม่แข็งแรง หรือเป็นลูกที่อาจจะพลัดหลงจากแม่ พะยูนโดยมากมักติดอวน (Gill net) โดยบังเอิญแล้วจมน้ำตาย หรือว่ายน้ำหากินแล้วเข้ามาติดโป๊ะ มีบ้างที่ติดอวนลากใกล้ฝั่ง ถูกเรือชน หรือเจ็บป่วยตามธรรมชาติ พะยูนติดอวนและโป๊ะ ตัวอย่างที่ติดอวนโดยส่วนม่กชาวประมงจะขังไว้ในกระชังในทะเล ควรทราบขนาดความยาวของพะยูนโดยประมาณ ในกรณีที่ทราบว่าตัวอย่างบาดเจ็บ อาจต้องนำตัวอย่างไปอนุบาลในบ่อ ต้องเตรียมถงไฟเบอร์ความยาวประมาณ 1.5 – 2.5 เมตร (อาจต้องใช้รถขนาดใหญ่ เช่นรถบันทุก 6 ล้อ) หรือเตรียมผ้าใบขนาดใหญ่ที่สามารถกักน้ำบุกระบะรถเพื่อลำเลียงตัวอย่าง ข้อควรระวังในการขนย้ายตัวอย่าง คือไม่ให้ตัวอย่างโดยเฉพาะส่วนหัวชนกับขอบถัง หรือตัวรถ ส่วนกรณีพะยูนติดโป๊ะต้องรีบปล่อยทันที
![]() |
พะยูนติดอวน |
"กรณีพะยูนตัวขนาดเล็ก" (ความยาว 2-3 เมตร) ซึ่งไม่แน่ใจว่าสามารถนำไปปล่อยในทะเลได้ ต้องเตรียมเปลผ้าใบพร้อมคานแบก หรือกรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายโลมาไปปฐมพยาบาลที่อื่น หรือย้ายไปปล่อยยังแหล่งที่คลื่นลมสงบ นอกจากนี้แล้วต้องเตรียมผ้านวม (ผ้าห่มนวม) ถังน้ำพลาสติกเพื่อตักน้ำ เบาะนวมเพื่อนรองรับตัวอย่างไม่ให้สัมผัสกับพื้นแข็ง ช่วยไม่ให้น้ำหนักลำตัวกดทับด้านท้องมากเกินไป และป้องกันมิให้ลำตัวกระแทกกับพื้น ขณะลำเลียงต้องมีผ้าอุ้มน้ำปิดตลอดทั้งลำตัว ยกเว้นเฉพาะส่วนช่องจมูกหายใจ หรือเตรียมผ้าใบขนาดใหญ่ที่สามารถกันน้ำบุกระบะรถพร้อมใส่น้ำ (กรณีนี้อาจต้องมีปั๊มน้ำและสายยางติดไปด้วย) หากส่วนใดส่วนหนึ่งของพะยูนจมอยู่ในน้ำ ต้องมีผ้าอุ้มน้ำปิดอยู่ เพราะจะช่วยให้โลมาสามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในสภาวะปกติ ถึงแม้ว่าขณะลำเลียงขนส่งจะเป็นเวลากลางคืนก็ตาม "กรณีพะยูนขนาดตัวใหญ่" ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ หากตัวอย่างตากแดดอยู่นาน ขั้นแรกควรทำร่มเงาให้ เช่นกางร่มขนาดใหญ่ หรือขึงผ้าใบไว้ (ไม่ควรนำน้ำมาราดบนตัวอย่าง เพราะอาจทำให้ตัวอย่างตายเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายรวดเร็วเกินไป) หลังจากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำมาประคบแล้งจึงใช้ผ้าอุ้มน้ำปิดบนลำตัว หากบริเวณนั้นเป็นหาดที่มีความลาดเอียงไม่มากนัก อาจขุดทรายข้างใต้ลำตัว เพื่อให้น้ำทะเลซึมเข้ามา ทั้งนี้นอกจากจะช่วยระบายรักษาอุณหภูมิให้ตัวอย่างแล้วยังช่วยประคองไม่ให้น้ำหนักตัวกดทับส่วนหน้าอกและท้องมากเกินไป หรือหากอยู่ไม่ไกลจากชายน้ำให้ช่วยกันอุ้มลงทะเล การปล่อยตัวอย่างลงทะเล หลังจากปฐมพยาบาลและประเมินว่าพะยูนแข็งแรงพอที่จะปล่อยได้แล้วจึงขนย้ายตัวอย่างด้วยเปล หรืออาจใช้คนช่วยกันอุ้ม หันหัวออกสู่ทะเลช่วยกันประคอง จนกว่าโลมาและปลาวาฬจะสามารถว่ายไปได้
![]() |
การจัดการกับตัวอย่างตาย (Carcass disposal)
สำหรับตัวอย่างเกยตื้นที่ตายแล้ว ไม่มีความยุ่งยากสำหรับตัวอย่างขนาดเล็ก (2-3 เมตร) ใช้รถกระบะในการลำเลียง ส่วนตัวใหญ่มากต้องฝังหรือลากออกไปทิ้งในทะเล โดยเตรียมอุปกรณ์ภาคสนามในการรับซาก จัดพาหนะให้เหมาะสมกับขนาดตัวอย่าง โดยทั่วไปใช่รถกะบะตอนเดียว พร้อมเจ้าหน้าที่ 2-3 คน อุปกรณ์ที่ควรเตรียมไปด้วย คือ กล่องเครื่องมือ ซึ่งประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น ขวดเก็บตัวอย่างเพื่อศึกษา DNA สายวัด/เทปวัด มีดผ่าตัดพร้อมใบมีด ปากคีบ (forceps) ต่างขนาด 2-3 อัน หลอดเก็บตัวอย่าง ปากกาเมจิกชนิดกันน้ำ กระดาษเลเบล กรรไกร คัทเตอร์ ฯลฯ ถุงมือ คานหาม 1 อัน รองเท้าบูท เชือกสำหรับผูกตัวอย่างกับกระบะรถ ผ้าใบ/กระสอบป่าน ปิดคลุมตัวอย่าง กระบะ/ถังแช่เย็นตัวอย่าง (กรณีตัวอย่างเล็ก) และวัสดุปลีกย่อยอื่นๆ สบู่สำหรับล้างมือ ชุดสำหรับเปลี่ยนในกรณีตัวอย่างใหญ่เน่าซึ่งลอยอยู่ในทะเล ในกรณีต้องการรักษาความสดของตัวอย่างในขณะลำเลียงควรใส่น้ำแข็งและเกลือเม็ดเพื่อช่วยให้ตัวอย่างสดอยู่เสมอ ก่อนการชันสูตรซาก หากตัวอย่างสดและไม่สามารถไปรับซากได้ทันที ควรติดต่อประสานงานให้กับคนในพื้นที่ฝากแช่แข็งตัวอย่างในห้องเย็น เช่น ห้องเย็นขององค์การสะพานปลา ห้องเย็นของแพปลา หรือโรงงาน หากตัวอย่างไม่สดมากพอที่จะเก็บในห้องเย็นได้ ให้จัดการแช่ตัวอย่างด้วยน้ำแข็ง (ผสมเกลือ) ในบ่อหรือถัง หากไม่มีบ่อหรือถังและมีพื้นที่ที่ติดหาดทรายให้ขุดหลุมลึกพอใส่ตัวอย่างปูพื้นด้วยผ้าใบแล้วแช่ตัวอย่างด้วยน้ำแข็ง (ผสมเกลือ)
การเตรียมอุปกรณ์ภาคสนามในการรับซาก
จัดพาหนะให้เหมาะสมกับขนาดตัวอย่าง โดยทั่วไปใช่รถกะบะตอนเดียว พร้อมเจ้าหน้าที่ 2-3 คน อุปกรณ์ที่ควรเตรียมไปด้วย คือ
1. | กล่องเครื่องมือ ซึ่งประกอบด้วยวัสดุอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น ขวดเก็บตัวอย่างเพื่อศึกษา DNA สายวัด/เทปวัด มีดผ่าตัดพร้อมใบมีด ปากคีบ (Forceps) ต่างขนาด 2-3 อัน หลอดเก็บตัวอย่าง ปากกาเมจิกชนิดกันน้ำ กระดาษเลเบล กรรไกร คัทเตอร์ ฯลฯ | |
2. | ถุงมือ | |
3. | คานหาม 1 อัน | |
4. | รองเท้าบูท | |
5. | เชือกสำหรับผูกตัวอย่างกับกระบะรถ | |
6. | ผ้าใบ/กระสอบป่าน ปิดคลุมตัวอย่าง | |
7. | กระบะ/ถังแช่เย็นตัวอย่าง (กรณีตัวอย่างเล็ก) |
วัสดุปลีกย่อยอื่นๆ สบู่สำหรับล้างมือ ชุดสำหรับเปลี่ยนในกรณีตัวอย่างใหญ่เน่าซึ่งลอยอยู่ในทะเล ในกรณีต้องการรักษาความสดของตัวอย่างในขณะลำเลียงควรใส่น้ำแข็งและเกลือเม็ดเพื่อช่วยให้ตัวอย่างสดอยู่เสมอ ก่อนการชันสูตรซาก หากตัวอย่างสดและไม่สามารถไปรับซากได้ทันที ควรติดต่อประสานงานให้กับคนในพื้นที่ฝากแช่แข็งตัวอย่างในห้องเย็น เช่น ห้องเย็นขององค์การสะพานปลา ห้องเย็นของแพปลา หรือโรงงาน หากตัวอย่างไม่สดมากพอที่จะเก็บในห้องเย็นได้ ให้จัดการแช่ตัวอย่างด้วยน้ำแข็ง (ผสมเกลือ) ในบ่อหรือถัง หากไม่มีบ่อหรือถังและมีพื้นที่ที่ติดหาดทรายให้ขุดหลุมลึกพอใส่ตัวอย่างปูพื้นด้วยผ้าใบแล้วแช่ตัวอย่างด้วยน้ำแข็ง (ผสมเกลือ)
ขั้นตอนการชันสูตรซาก (Necropsy) ปฏิบัติดังนี้
1. | ถ่ายรูปลักษณะภายนอกทั้งด้านบน ด้านข้าง และด้านท้อง ลักษณะครีบข้าง ครีบหลัง และครีบหาง ลักษณะสี ลาย และจุดตามลำตัว รวมทั้งตำหนิภายนอกและบาดแผล | |
2. | ตรวจลักษณะภายนอกโดยละเอียด เช่นบาดแผล รอยช้ำ พยาธิ หรือสัตว์ที่เกาะ เช่นเพรียง และอื่นๆ * หากพบพยาธิให้ดองด้วยน้ำยาแอลกอออล์ 10% * ลักษณะบาดแผล รอยช้ำ และอื่นๆ ให้ลงตำแหน่งไว้ใน Data sheet | |
3. | เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อไว้เพื่อวิเคราะห์ DNA ดองด้วย Absolute alcohol ส่วนที่ดีที่สุดคือผิวหนังสีดำด้านนอก หากไม่มีให้เก็บเนื้อหรืออวัยวะอื่นๆแทนได้ เช่น ตับ เนื้อ | |
4. | ชั่งตัวอย่างน้ำหนักทั้งตัว | |
5. | นับจำนวนฟัน/ร่องฟัน ทั้งขากรรไกรบน และล่าง | |
6. | วัดขนาดตาม Data sheet เช่น ความยาวลำตัว รอบตัว | |
7. | วัดขนาดความหนาของชั้นไขมัน (Blubber) ตามที่ระบุไว้ใน Data sheet | |
8. | โดยทั่วไปจะเริ่มผ่าซากจากแนวด้านบนตามความยาวลำตัว หรือผ่าจากแนวด้านข้างของลำตัว และบันทึกลักษณะต่างๆ ของอวัยวะภายใน เช่น สี รอยช้ำ วัดความกว้าง ความยาว ชั่งน้ำหนักอวัยวะภายในแต่ละชิ้น * ตรวจดูพยาธิ (หากพบพยาธิให้ดองในน้ำยาแอลกอออล์ 10%) อย่าลืมตรวจพยาธิในช่องทางเดินหายใจ (จากปลายรูจมูก หรือ blowhole เข้าไปด้านใน) | |
9. | ส่วนของกระเพาะ ชั่งน้ำหนักอาหารในกระเพาะ และดองในน้ำยาฟอร์มาลีน 10% เพื่อไว้แยกชนิดอาหารที่ตัวอย่างกินต่อไป | |
10. | สำหรับตัวอย่างที่ตายใหม่ๆ ควรเก็บชิ้นส่วนเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์ด้าน Pathology โดยใช้เนื้อเยื่อทุกส่วนที่สามารถเก็บได้ เช่น หนัง เนื้อ อวัยวะภายในทุกชิ้น เก็บเนื้อเยื่อชินละประมาณ 1X1 เซนติเมตร ดองในน้ำยาฟอร์มาลีน 10% | |
11. | เก็บเนื้อเยื่อทุกส่วนรวมทั้งอวัยวะภายในเพื่อหาโลหะหนัก และสารตกค้างแต่ละชิ้นให้มีขนาดประมาณ 3-5 x 3-5 เซนติเมตร แล้วแช่แข็งที่อุณหภูมิ -80 องซาเซลเซียส เพื่อรอการวิเคราะห์ต่อไป | |
12. | เก็บชิ้นเนื้อส่วนสำคัญอื่นๆ อาทิ ฟันเพื่อนศึกษาอายุ รังไข่และมดลูกหรืออัณฑะเพื่อศึกษาการเจริญพันธุ์ (รังไข่และอัณฑะตัดตรงกลางขนาด 1 x 1 เซนติเมตร แล้วดองในน้ำยาฟอร์มาลีน 10%) | |
13. | หากทำได้ให้แยกชั่งน้ำหนัก เนื้อชั้นไขมัน กระดูก อวัยวะภายใน และโครงกระดูก | |
14. | ถ่ายรูปอวัยวะภายใน และส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะที่เห็นว่าผิดปกติ |
การฝังซากและเก็บโครงกระดูก
กรณีตัวอย่างมีขนาดใหญ่ หรือไม่สะดวกในการชันสูตรซาก เช่น ตัวอย่างเน่ามาก หรือไม่มีบุคลากร วิธีที่ดำเนินการสะดวกที่สุดคือการฝัง สถานที่ที่ฝังควรเป็นพื้นที่ที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง ก่อนฝังควรตัดครีบข้างทั้งสองข้างห่อด้วยอวนตาละเอียด (อวนเขียว) แล้วจึงค่อยห่อรวมกับลำตัวอีกครั้ง เนื่องจากกระดูกนิ้วข้อเล็กมาก หากห่อรวมกันไปอาจทำให้สูญหายได้เวลาขุดซาก หรืออาจแยกครีบมาแช่น้ำเพื่อเก็บกระดูก ในกรณีตัวอย่างใหญ่ควรผ่าท้องตัวอย่างก่อนห่อด้วยเนื้ออวน เพื่อให้ส่วนของ เนื้อ หนัง อวัยวะภายในเน่าและย่อยสลายเร็ว ผูกหัวท้ายอวนให้เรียบร้อย ทำเครื่องหมายโดยใช้เชือกไนลอนผูกกับปลายด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านแล้วปล่อยเชือกให้เหนือหลุมกลบ เพื่อใช้เป็นเครื่องหมาย ในการติดตามโครงกระดูกภายหลัง พร้อมทั้งบันทึกถ่ายภาพ หรือวาดสถานที่ที่ฝังกลบตัวอย่าง เพื่อบอกตำแหน่งที่ฟังได้ชัดเจน หรืออาจทำป้ายปักไว้ (ส่วนใหญ่ป้ายมักหาย หรือชำรุด แล้วหาไม่พบ) กรณีตัวอย่างขนาด 2-3 เมตร ไม่ควรฝังนานเกิน 3-4 เดือน สำหรับตัวอย่างที่มีขนาดความยาวมากกว่า 10 เมตร ไม่ควรฝังนานเกิน 1 ปี เพราะหากฝังตัวอย่างไว้นานเกินไป นอกจากโครงกระดูกจะผุกร่อนแล้ว รากไม้ยังชอนไชไปทำให้กระดูกเสียหายได้อีกด้วย
กรณีตัวอย่างใหญ่มากและไม่สามารถทำการฝังกลบได้ เช่น บริเวณนั้นเป็นหาดโคลน ให้โรยปูนขาวดับกลิ่น และทยอยเก็บรวบรวมกระดูก หากเป็นตัวอย่างเน่ามากลอยอยู่ในทะเล ให้ลากเข้าฝั่ง ผูกตัวอย่างไว้กับต้นไม้ใหญ่ริมหาด เพื่อป้องกันคลื่นซัดพาตัวอย่างออกนอกฝั่ง แล้วทำการเก็บรวมรวมกระดูก โครงกระดูกที่ได้นำไปฝังก่อนเพื่อให้เศษเนื้อและไขมันย่อยสลายตามธรรมชาติ หรือแช่น้ำทะเลไว้ในกระชัง กรณีแช่กระดูกไว้ในกระชังควรระวังไม่ให้กระชังรับน้ำหนักมากเกินไป เพราะกระชังอาจจะขาดทำให้กระดูกสูญหายได้ หากแช่ไว้นานมากจะมีสาหร่ายขึ้นและทำความสะอาดยาก
สำหรับพะยูนขนาดเล็ก หลังจากชำแหละเนื้อออกหมดแล้ว นำกระดูกแช่น้ำ ใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ล้างกระดูกให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำที่มีส่วนผสมของไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ 5-10% เพื่อขจัดคราบไขมันและทำให้กระดูกขาวขึ้น กรณีกระดูกที่ขุดขึ้นมาหลังจากล้างทำความสะอาด แล้วอาจแช่ในน้ำที่มีส่วนผสมของไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ได้เช่นกัน
เทคนิคการทำความสะอาดครีบพะยูน
เทคนิคการจัดการกับครีบของพะยูนขนาดเล็ก ครีบประกอบไปด้วยนิ้ว 5 นิ้ว ถ้าแช่รวมกับกระดูกอาจจะทำให้การเก็บชิ้นส่วนให้ครบเป็นไปได้ยาก ควรแยกทำความสะอาด โดยเลาะหนังออกให้มากที่สุด แช่น้ำไว้ 1-2 คืน เพื่อที่จะให้เนื้อเริ่มเน่าแต่ส่วนของเอ็นยังอยู่แล้วนำกลับมาแช่ในน้ำยาฟอร์มาลินความเข้มข้น 10% ประมาณ 1 คืน เพื่อให้เอ็นที่ติดอยู่มีความแข็งและไม่เน่า แล้วใช้ Forceps และมีดผ่าตัดเลาะส่วนที่เป็นหนังและเนื้อที่เหลือออกให้หมดจนเห็นลักษณะนิ้วและฝ่ามือชัดเจน ล้างน้ำให้สะอาด (อาจฟอกสีด้วยไฮโดรเยนเปอร์ออกไซด์ แต่ต้องระวังอย่าให้นานเกินไป) set ครีบให้ได้รูปโดยมีวัสดุแข็งประกบด้านบนและด้านล่างอบฟอร์มาลีนไว้ 1-2 วัน หรือจนกว่าตัวอย่างจะแห้งก็จะได้ครีบสมบูรณ์และสวยงาม
การเก็บรักษากระดูก
เนื่องจากบ้านเรามีอากาศร้อนชื้น แม้ว่าจะเก็บรักษาโครงกระดูกไว้ในอาคารก็ตาม กระดูกที่เก็บมักมีราขึ้น กระดูกตัวอย่างใหญ่ มักมีไขมันออกมาเสมอ เคยทดลองแช่กระดูกในน้ำที่มีสารละลายคอปเปอร์ แต่ไม่สามารถยับยั้งเชื้อราได้ อย่างไรก็ตามกระดูกที่ได้ลงหมายเลขแล้ว ควรเก็บไว้ในกล่อง และวางไว้ในสถานที่ที่แห้งในตัวอาคารที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โครงกระดูกที่แห้งมากที่จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์แม้จะไม่มีเชื้อราขึ้นแต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งจะถูกฝุ่นละออกจับเป็นคราบดำและยากแก่การทำความสะอาด